นโยบายสวมหน้ากากอนามัยตามความสมัครใจ

การสวมหน้ากากอนามัยตามความสมัครใจในประเทศไทยได้ถูกประกาศใช้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 จนถึงวันนี้เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือนแล้ว ปัจจุบันมีวัคซีนโควิดสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี ทำให้เด็กมีทางเลือกในการรับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิต้านทาน ลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ได้ให้ความเห็นว่า เด็กนักเรียนอนุบาลและเด็กชั้นประถมตอนต้นควรเลิกใส่หน้ากากอนามัย และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติเช่นเดียวกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ
ในความเห็นของคุณครู การสร้างสมดุลในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ ในเด็กเรามุ่งเน้นพัฒนาการทางวิชาการ อารมณ์สังคม และสุขภาพร่างกาย ผลกระทบจากการใส่หน้ากากส่งผลให้ครูไม่สามารถมองเห็นรูปปากของนักเรียนขณะพูด เด็กบางคนประสบปัญหาในการพูดเนื่องจากไม่สามารถเลียนแบบครูได้หากไม่เห็นรูปปาก ทำให้บ่อยครั้งครูมีความจำเป็นต้องถอดหน้ากากในการสอน อีกหนึ่งผลกระทบ คือ ความสามารถของเด็กในการวิ่งเล่น ออกกำลังกายนอกห้องปรับอากาศ คุณครูพบว่าขณะที่เด็กๆวิ่งเล่น เด็กเหนื่อยง่าย หายใจไม่ทัน และต้องกลับเข้าห้องแอร์ การใส่หน้ากากอนามัยจึงส่งผลกับธรรมชาติของเด็กที่ชอบวิ่งเล่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนที่เดิมทีมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถรับวัคซีนได้ หรือมีประวัติป่วยหนักบ่อย มีความจำเป็น มีข้อจำกัดของครอบครัว เช่นกัน
แคร์โรลล์ เพรพ ประกาศให้นักเรียนสวมหรือไม่สวมหน้ากากอนามัยตามความสมัครใจตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตามการตัดสินใจของผู้ปกครอง ขอให้ผู้ใหญ่ทุกคนไม่ตัดสินการตัดสินใจของผู้ปกครองที่ตัดสินใจเหมือนหรือแตกต่างจากตนเอง หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดเชิงลบกับผู้ที่เลือกปฏิบัติต่างไป
แนวทางการอธิบายกับนักเรียนเมื่อนักเรียนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความแตกต่าง
1. แต่ละบ้านมีความจำเป็น มีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน ดังนั้นนี่คือสิ่งที่บ้านเราตัดสินใจทำ
2. นั่นคือการตัดสินใจของเพื่อน และนี่คือการตัดสินใจของบ้านเรา
สำหรับผู้ปกครองที่มีข้อจำกัด กรุณาแจ้งครูประจำชั้นเพื่อช่วยดูแลให้นักเรียนใส่หน้ากากอนามัยระหว่างวันอย่างเคร่งครัด
Carroll Preparatory Primary & Preschool